หมายเลขไอพี หรือ ไอพีแอดเดรส (Internet Protocol Address) คือหมายเลขที่ใช้ในระบบเครือข่ายที่ใช้โปรโตคอล Internet Protocol คล้ายกับหมายเลขโทรศัพท์ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องเราท์เตอร์ เครื่องแฟกซ์ จะมีหมายเลขเฉพาะตัวโดยใช้เลขฐานสอง จำนวน 32 บิต โดยการเขียนจะเขียนเป็นชุด 4 ชุด โดยแต่ละชุดจะใช้เลขฐานสองจำนวน 8 บิต ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับระบบเลขฐานสิบ จึงมักแสดงผลโดยการใช้เลขฐานสิบ จำนวน 4 ชุด ซึ่งแสดงถึงหมายเลขเฉพาะของเครื่องนั้น สำหรับการส่งข้อมูลภายในเครือข่ายแลน แวนหรือ อินเทอร์เน็ต โดยหมายเลขไอพีมีไว้เพื่อให้ผู้ส่งรู้ว่าเครื่องของผู้รับคือใคร และผู้รับสามารถรู้ได้ว่าผู้ส่งคือใคร
ตัวอย่างของหมายเลขไอพี
ได้แก่ 207.142.131.236 ซึ่งเมื่อแปลงกลับมาในรูปแบบที่อ่านได้จะเรียกว่า โดเมนแอดเดรส ผ่านทาง โดเมนเนมซีสเทม (Domain Name System) ซึ่งหมายเลขนั้นหมายถึง
ไอพีเวอร์ชัน 4
ระบบตัวเลขไอพีที่ใช้ในปัจจุบันเป็นระบบ ไอพีเวอร์ชันที่ 4 (IPv4) ซึ่งจะเป็นระบบ 32 บิตหรือสามารถระบุเลขไอพีได้ตั้ง 0.0.0.0 ถึง 255.255.255.255 (ตัวเลขบางตัวเป็นไอพีสงวนไว้สำหรับหน้าที่เฉพาะเช่น 127.0.0.0 จะเป็นการระบุถึงตัวอุปกรณ์เองไม่ว่าอุปกรณ์นั้นจะมีไอพีสื่อสารจริงๆ เป็นเท่าไร) อย่างไรก็ตามจากระบบตัวเลขที่จำกัดนี้สามารถเพิ่มขยายด้วยเทคนิคของไอพีส่วนตัว (private IP) กับการแปลงไอพี (Network Address Translation หรือ NAT) 684
คลาส
ไอพีเวอร์ชัน 4 ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น Class ชนิดต่างๆเพื่อจุดประสงค์ในการใช้งานต่างๆกันดังต่อไปนี้
คลาส A เริ่มตั้งแต่ 1.0.0.1 ถึง 126.255.255.254
คลาส B เริ่มตั้งแต่ 128.0.0.1 ถึง 191.255.255.254
คลาส C เริ่มตั้งแต่ 192.0.1.1 ถึง 223.255.254.254
คลาส D เริ่มตั้งแต่ 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255 ใช้สำหรับงาน multicast
คลาส E เริ่มตั้งแต่ 240.0.0.0 ถึง 254.255.255.254 ถูกสำรองไว้ ยังไม่มีการใช้งาน
สำหรับไอพีในช่วง 127.0.0.0 ถึง 127.255.255.255 ใช้สำหรับการทดสอบระบบ
ไอพีส่วนตัว (Private IP)
ไอพีส่วนตัวมีไว้สำหรับใช้งานภายในองค์กรเท่านั้น ไม่ว่าองค์กรนั้นจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กเพียงใดก็ตาม ได้แก่
ไอพีส่วนตัว คลาส A เริ่มตั้งแต่
10.0.0.0 ถึง 10.255.255.255 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.0.0.0 ขึ้นไป
ไอพีส่วนตัว คลาส B เริ่มตั้งแต่
172.16.0.0 ถึง 172.31.255.255 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.255.0.0 ขึ้นไป
ไอพีส่วนตัว คลาส C เริ่มตั้งแต่
192.168.0.0 ถึง 192.168.255.2555 สับเน็ตมาสต์ที่ใช้ได้ เริ่มตั้งแต่ 255.255.255.0 ขึ้นไป
ไอพีส่วนตัวข้างต้นถูกกำหนดให้ไม่สามารถนำไปใช้งานในเครือข่ายสาธารณะ (Internet) ได้
ไอพีสาธารณะ (Public IP)
ไอพีสาธารณะมีไว้สำหรับให้แต่ละองค์กร แต่ละบุคคล ต่างก็สามารถเชื่อมต่อเข้าหากัน รับส่งข้อมูลระหว่างกันผ่านเครือข่ายสาธารณะได้
การแปลงไอพี (NAT)
เนื่องจากเมื่อแต่ละองค์กร แต่ละบุคคล ต่างก็ใช้งานไอพีส่วนตัวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง ซึ่งส่งผลให้ไม่สามารถติดต่อกับเครือข่ายสาธารณะ (Internet)ได้ จึงทำให้องค์กรเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการแปลงไอพี เพื่อช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะได้ นอกจากนี้ไอพีสาธารณะเองก็มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เมื่อแต่ละองค์กร แต่ละบุคคลต้องการที่จะเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายสาธารณะจะทำให้เกิดปัญหาไอพีสาธารณะไม่พอเพียงต่อการใช้งาน ดังนั้นเพื่อให้เกิดการใช้งานไอพีสาธารณะอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีการแปลงไอพีส่วนตัวของแต่ละองค์กรให้สามารถแบ่งปันกันใช้งานไอพีสาธารณะที่มีอยู่อย่างจำกัด (OverloadedNAT)ในแง่ของความปลอดภัย การแปลงไอพีสามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบเครือข่ายได้ เนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์จากเครือข่ายสาธารณะทั้งหลาย จะไม่สามารถรู้จักไอพีที่แท้จริงของคอมพิวเตอร์ในองค์กร ทำให้ความเสี่ยงที่คอมพิวเตอร์ภายในองค์กรจะถูกโจมตีในแง่ต่างๆลดลงไปด้วย
ไอพี คือ อะไร ไอพี (IP) นั้นย่อมาจากคำว่า อินเทอร์เน็ตโปรโตคอล
( Internet Protocal ) ซึ่งหมายถึงขั้นตอน และขบวนการที่ใช้ในการติด
ต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์โดยพัฒนาในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของโครงการ ARPANET โดยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกระทรวง กลาโหมของสหรัฐอเมริกา และโครงการนี้ก็จะถูกพัฒนามาเรื่อยจน กลายมาเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ซึ่งทำให้ไอพี เป็นที่รู้จักกันดีและถูกใช้งานอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตเป็นโครงข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยจะมีคอมพิวเตอร์ที่เป็นไซต์ (Site) อยู่ถึง 10 ล้านเครื่องในปัจจุบันไซต์ ์ในที่นี้หมายถึง คอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเครื่องตั้งแต่ขนาดเล็ก กลาง จน ถึงเมนเฟรม (Mainframe)และซูเปอร์คอมพิวเตอร์(SuperComputer)ที่ต่อเชื่อมอยู่ในโครงข่ายอิเทอร์เน็ต และอนุญาตให้คอมพิวเตอร์ อื่น ๆ ต่อเชื่อมเข้าใช้บริการต่าง ๆ เช่น ค้นหาข้อมูลโอนถ่ายข้อมูลลง เครื่อง (Download file) จนกระทั่งส่งโปรแกรมให้ไซต์นั้น ๆ ทำการประมวลผลให้ ตั้งแต่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ถูกโอนเป็นของเอกชนจากกระทรวง กลาโหม และมีการอนุญาตให้นำอินเทอร์เน็ตไปใช้งานเชิงพาณิชย์ ได้ทำให้โครงข่ายอินเทอร์เน็ต มีไซต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ ระบบอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นในเร็ววันถ้าอัตรา การเพิ่มของไซต์ และอัตราการเพิ่มของจำนวนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งนิยมเรียกกันว่า พีซี (PC-Personal Computer) ที่ต่อเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อขอใช้บริการต่างๆ ยังอยู่ในอัตราปัจจุบันคือจะเพิ่มเป็น 2 เท่า ประมาณหนึ่งปี คาดว่ามีผู้ใช้บริการคร่าว ๆ 150 ล้านคน จาก 100 ประเทศทั่วโลก ปัญหาที่เกิดขึ้นคือจำนวนปริมาณข้อมูลที่วิ่งอยู่ในโครงข่ายอินเทอร์ เน็ตได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล นอกจากปริมาณที่เพิ่มขึ้นจาก ผู้ใช้แล้ว อีกสาเหตุหนึ่งคือลักษณะการประยุกต์ใช้งานได้เปลี่ยนเป็น สื่อประสม (Multimedia) มากขึ้น สื่อประสมจะใช้ความกว้างแถบความถี่ (Bandwidth) มากกว่าการใช้งานแบบตัวอักษรมาก เกี่ยวกับปัญหาเรื่องของการติดขัดของข้อมูล (Congestion) ได้เกิด แนวคิดในการจะปรับปรุงตัวโครงข่ายปัจจุบันให้เป็นโครงข่ายแบบ แถบความถี่กว้าง (Broadband Communication Network) โครงข่ายที่ว่านี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure) ของระบบทางด่วนข้อมูล (Information Superhighway) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
ส่วนอีกปัญหาหนึ่ง คือ เนื่องมาจากจำนวนไซต์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวด เร็วทำให้ระบบไอพีแบบเดิมที่ใช้อยู่ ไม่สามารถรองรับปริมาณเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ส่วนหนึ่งของไอพีที่มีปัญหา คือ เลขที่ไอพี(IPAddress) ซึ่งคล้ายกับรหัสไปรษณีย์ และเลขที่อยู่ของบ้านนั้นเองเลขที่ไอพีถูกใช้เป็นตำแหน่ง ของไซต์เพื่อให้อุปกรณ์โครงข่ายสามารถจะส่งข้อมูลไปมาระหว่างเครื่องได้ ไอพีแบบปัจจุบันนี้เป็นเวอร์ชั่น 4 ซึ่งมีความยาวของที่อยู่ขนาด 32 บิต เท่านั้นเมื่อจำนวนไซต์เพิ่มขึ้นทำให้ขนาดของที่อยู่ไม่พอรองรับเครื่องได้ ทางองค์กร ไออีทีเอฟ (IETF-Internet Engineering Task Force ) จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาหนึ่งชุดเพื่อศึกษา ถึงแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่ไอพีไม่พอใช้ คณะทำงานดังกล่าวได้เสนอไอพีเวอร์ชั่นใหม่ออกมาซึ่งเป็นเวอร์ชั่น 6 ซึ่งมักจะนิยม เขียนย่อว่า IPv6 และคณะทำงานได้ตั้งชื่อโค้ดไอพีใหม่นี้ว่า ไอพีรุ่นใหม่ ( IP..... The Next Generation) ซึ่งตั้งตามรายการทีวีเรื่อง สตาร์เทรค (Startrek) ชุดใหม่ที่ฉายใน สหรัฐอเมริกา ซึ่งชื่อว่า Startrek...The Next Generation ไอพีที่เสนอใหม่นี้ จะมีความยาวของที่อยู่ถึง 128 บิต ทำให้คิดว่าจะสามารถรองรับจำนวนไซต์ได้มหาศาลนอกจากสาเหตุที่อยู่ของไอพีจะหมดแล้วอีก สาเหตุหนึ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ต้องการเปลี่ยนไอพี คือมีการประยุกต์เอาภาพและเสียงไปใช้งานใน อินเทอร์เน็ตมากขึ้น ไอพีเวอร์ชั่นเดิมนั้นทำงาน ในลักษณะแบบดาต้าแกรม (Datagram) ซึ่งเป็น คอนเน็คชั่นเลส (Connectionless) และไม่เหมาะในการนำมาประยุกต์ใช้งานแบบเสียง และภาพ ลักษณะการส่งแบบ Connetionless เปรียบเทียบคล้ายกับการส่งจดหมายทางไปรษณีย์ ซึ่งอาจจะมี การสูญหายได้ ในการส่งเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน สัญญาณเสียงจะถูกแปลงเป็นสัญญาณ ดิจิตอลและเนื่องจากขนาดข้อมูลใหญ่จึงถูกแบ่งเป็นหลาย ๆ แพคเก็ต (Packet) และส่งไปในโครงข่ายมีโอกาสที่แพคเก็ตจะถูกส่งไปในโครงข่ายคนละเส้นทางทำให้เดินทางถึงปลายทางล่าช้าหรืออาจล่าช้า หรืออาจจะสูญหายไปก็ได้ ทำให้คุณภาพของเสียงที่ปลายทางมีปัญหา เช่น เสียงขาดหายเป็นช่วง ๆใน IPv6 ได้ถูกปรับปรุงขีดความสามารถเพื่อให้ส่งภาพและเสียงได้ดีขึ้นนอกจากนั้นยังเพิ่มส่วนที่ จะทำให้ IPv6 สามารถรองรับการทำงานแบบเป็นกลุ่ม เช่นการประชุมทางไกลการที่จะทำงานลักษณะนี้ได้ต้องหาทางให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลทราบและทำการก๊อบปี้ (Copy) ข้อมูลแล้วส่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในกลุ่มนั้น คาดว่าอีกคงจะหลายปี IPv6 จะถูกใช้อย่างแพร่หลาย แต่ปัจจุบันได้เริ่มมีบริษัท ผู้ผลิตอุปกรณ์โครงข่ายหลายรายได้ออกประกาศว่า สินค้าของบริษัทสามารถทำงานกับ IPv6ได้ ถ้าท่านเป็นผู้บริหารโครงข่ายผู้หนึ่งและเป็นผู้ส่วนการตัดสินใจเกี่ยวกับ การเลือกอุปกรณ์โครงข่ายในลักษณะแบบดาต้าแกรม (Datagram) ซึ่งเป็น คอนเน็คชั่นเลส (Connectionless) และไม่เหมาะในการนำมาประยุกต์ใช้งานแบบเสียง และภาพลักษณะการส่งแบบ Connetionless เปรียบเทียบคล้ายกับการส่งจดหมายทางไปรษณีย์ ซึ่งอาจจะมีการสูญหายได้ ในการส่งเสียงผ่านอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน สัญญาณเสียงจะถูกแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลและเนื่องจากขนาดข้อมูลใหญ่จึงถูกแบ่งเป็นหลาย ๆ แพคเก็ต (Packet) และส่งไปในโครงข่ายมีโอกาสที่แพคเก็ตจะถูกส่งไปในโครงข่ายคนละเส้นทางทำให้เดินทางถึงปลายทางล่าช้าหรืออาจล่าช้า หรืออาจจะสูญหายไปก็ได้ ทำให้คุณภาพของเสียงที่ปลายทางมีปัญหา เช่น เสียงขาดหายเป็นช่วง ๆใน IPv6ได้ถูกปรับปรุงขีดความสามารถเพื่อให้ส่งภาพและเสียงได้ดีขึ้นนอกจากนั้นยังเพิ่มส่วนที่จะทำให้ IPv6 สามารถรองรับการทำงานแบบเป็นกลุ่ม เช่นการประชุมทางไกลการที่จะทำงานลักษณะนี้ได้ต้องหาทางให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลทราบและทำการก๊อบปี้ (Copy) ข้อมูลแล้วส่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในกลุ่มนั้น
คาดว่าอีกคงจะหลายปี IPv6 จะถูกใช้อย่างแพร่หลาย แต่ปัจจุบันได้เริ่มมีบริษัท
ผู้ผลิตอุปกรณ์โครงข่ายหลายรายได้ออกประกาศว่า สินค้าของบริษัทสามารถทำงานกับ
IPv6 ได้ ถ้าท่านเป็นผู้บริหารโครงข่ายผู้หนึ่งและเป็นผู้มีส่วนในการตัดสินใจเกี่ยวกับ
การเลือกอุปกรณ์โครงข่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น